PCE ขับเคลื่อนการเติบโตผ่านนวัตกรรมและความยั่งยืน

คุณกัญกร ประสิทธิ์ศุภผล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับพัฒนาการและการเติบโตของ PCE ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ในด้านการขยายตลาด และความมุ่งมั่นต่อแนวทางการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนของบริษัท

อยากให้คุณกัญกรช่วยเล่าถึงประวัติความเป็นมาของบริษัท PCE และเส้นทางการเติบโตที่นำพาบริษัท สู่การดำเนินธุรกิจ ในปัจจุบัน?

จุดเริ่มต้นของ PCE เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของคุณประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ที่เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งบริษัท แม้จะไม่ได้เป็นชาวสุราษฎร์ธานี โดยกำเนิด แต่คุณประกิตมองเห็นโอกาสในอุตสาหกรรมประมงที่กำลังเติบโตของจังหวัดสุราษฏร์ธานี จุดเริ่มต้นแรกของบริษัทจึงเป็นการเปิดสถานีเติมน้ำมันดีเซลลอยน้ำเพื่อให้บริการแก่กองเรือประมงในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นบริการที่สำคัญในภูมิภาคที่มีปริมาณน้ำฝนสูงและมีทรัพยากรทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์

ด้วยรากฐานจากประสบการณ์ในธุรกิจน้ำมัน บริษัทได้ขยายกิจการสู่การขนส่งน้ำมันดีเซล โดยก่อตั้งบริษัท เพชรศรีวิชัย เพื่อเป็นผู้เล่นหลักในการลำเลียงเชื้อเพลิงจากกรุงเทพฯ สู่จังหวัดต่างๆ ในภาคใต้ ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง โดยใช้เส้นทางโลจิสติกส์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการบรรทุกน้ำมันมะพร้าวในเที่ยวกลับ

การเติบโตของน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ในฐานะสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่าในประเทศไทย ได้เปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ด้วยเล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดนี้ เราจึงปรับกลยุทธ์ในการขนส่งน้ำมันปาล์มดิบจากแหล่งผลิตในภาคใต้ไปยังโรงกลั่นในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น ความท้าทายของการขนส่งทางถนนก็เด่นชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการจราจรที่หนาแน่น ความซับซ้อนด้านโลจิสติกส์ และต้นทุนที่สูงขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเหล่านี้ เราได้ขยายธุรกิจสู่การขนส่งทางทะเล พร้อมจัดตั้งคลังเก็บน้ำมันก่อนการขนส่ง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดต้นทุนการดำเนินงาน การขยายตัวเชิงกลยุทธ์นี้นำไปสู่การก่อตั้ง PK Marine ซึ่งช่วยยกระดับประสิทธิภาพระบบขนส่งของเราให้ดียิ่งขึ้น พร้อมรองรับความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม เราได้ก่อตั้ง PACO ขึ้นเพื่อสนับสนุนการซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เดิมทีเป้าหมายหลักของเราคือการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์มากกว่าการค้าขายโดยตรง แต่ความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นได้นำพาเราให้มีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในธุรกิจการซื้อขายน้ำมันปาล์ม แนวทางการดำเนินธุรกิจของเรายังได้รับอิทธิพลจากโครงการด้านการเกษตรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเน้นการส่งเสริมมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร นำไปสู่การขยายธุรกิจของเราเข้าสู่การผลิตพลังงานหมุนเวียนจากน้ำมันพืช ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในฐานะสถานีเติมน้ำมันลอยน้ำ เพชรศรีวิชัยได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของประเทศไทย ความสำเร็จของเรามาจากวิสัยทัศน์ที่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ การบริหารจัดการที่แข็งแกร่ง และความมุ่งมั่นในการพัฒนาและนำนวัตกรรมมาใช้อย่างต่อเนื่อง

ความยั่งยืนมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของ PCE อย่างไร โดยเฉพาะในการบริหารห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ? และวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัทในการส่งต่อธุรกิจนี้เป็นมรดกแก่ครอบครัวและ ผู้ถือหุ้นคืออะไร?

ความยั่งยืนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ฝังอยู่ในแนวทางการดำเนินธุรกิจของ PCE การบริหารห่วงโซ่คุณค่าตลอดทั้งระบบ ตั้งแต่แหล่งเพาะปลูกปาล์มน้ำมันในส่วนของต้นน้ำไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคในส่วนของปลายน้ำ ไม่เพียงช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับบริษัท แต่ยังมาพร้อมกับความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการรักษาประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต

เราได้มีการลงทุนในแหล่งเพาะปลูกอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อควบคุมคุณภาพวัตถุดิบและตอบสนองต่อความต้องการของตลาด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าการดำเนินงานต้นน้ำจะมีความซับซ้อนกว่าการทำตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในส่วนปลายน้ำ แต่ก็ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจมีความมั่นคงในระยะยาว แม้กลยุทธ์ทางการตลาดและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์จะมีบทบาทสำคัญต่อความ สำเร็จในตลาดปลายน้ำแต่การบริหารจัดการกระบวนการต้นน้ำอย่างมีประสิทธิภาพคือหัวใจหลักของความยั่งยืนและความสามารถในการทำกำไร ของธุรกิจ

สำหรับเรา ความยั่งยืนทางธุรกิจไม่ได้หมายถึงเพียงการสร้างรายได้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการรักษามรดกทางธุรกิจให้คงอยู่ต่อไป เรามองว่ากิจการน้ำมันปาล์มของเราเป็นสินทรัพย์ระยะยาวที่ต้องได้รับการดูแลและพัฒนาให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น มากกว่าการใช้เป็นเพียงเครื่องมือทางการเงินในระยะสั้น ด้วยความมุ่งมั่นในการบริหารทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบและยึดมั่นในแนวทาง ธุรกิจที่ยั่งยืน เราพยายามสร้างสมดุลระหว่างความสามารถในการทำกำไร ผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรม และการเติบโตในระยะยาว

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ส่งผลต่อกลยุทธ์การเติบโตของ PCE อย่างไรในอนาคต? ในมุมมองของคุณกัญกร การเข้าสู่ตลาดหุ้นถือเป็นสะพานเชื่อมโยงบริษัทกับพันธมิตรระดับโลกและขยายโอกาสทางธุรกิจได้อย่างไร? และในปัจจุบัน ธุรกิจส่วนใดของ PCE เป็นแหล่งสร้างรายได้สูงสุด?

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นก้าวสำคัญของเรา ซึ่งเปิดโอกาสให้ PCE ขยายธุรกิจในวงกว้างและเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีโลก การเป็นบริษัทมหาชนช่วยให้เราสร้างพันธมิตรกับบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดปลายน้ำ ซึ่งสามารถเสริมศักยภาพให้กับการดำเนินงานต้นน้ำของเรา แทนที่จะต้องสร้างตลาดใหม่ตั้งแต่ต้น เราร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเร่งสร้างมูลค่าทางธุรกิจให้เกิดขึ้น และขยายธุรกิจของ PCE สู่ระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในปัจจุบัน องค์ประกอบของรายได้หลักของเรามาจากสามกลุ่มธุรกิจ ได้แก่:

  • กลุ่มธุรกิจโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม (New Biodiesel หรือ NBD): แหล่งรายได้หลักของเราอยู่ที่การสกัดและกลั่นน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน
  • กลุ่มธุรกิจซื้อและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม (PACO): บริหารจัดการการจัดซื้อและจำหน่ายวัตถุดิบ รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป โดยปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดเพื่อสร้างผลกำไรสูงสุด
  • ธุรกิจด้านการให้บริการ: ครอบคลุมงานบริการด้านโลจิสติกส์ การขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานแบบครบวงจรของกลุ่มธุรกิจ

เราเชื่อว่าความสำเร็จในอนาคตอยู่ที่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ มากกว่าการแข่งขันด้านปริมาณ เรามุ่งเน้นไปไกลกว่าการดำเนินธุรกิจที่อาศัยปริมาณตลาดสูงแต่มีส่วนต่างกำไรต่ำ โดยให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและความแตกต่าง เพื่อนำพาการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว

ภาพธุรกิจของบริษัท นิวไบโอดีเซล ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจหลักของ PCE มีลักษณะเป็นอย่างไร อยากให้คุณกัญกรช่วยเล่าถึงภาพการดำเนินงานในโรงสกัดและแผนการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ในอนาคต?

ที่ PCE ธุรกิจหลักของเราครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าของน้ำมันปาล์มอย่างครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการสกัดน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ต้นน้ำ ไปจนถึงการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น น้ำมันบริโภคและพลังงานหมุนเวียน โดยไบโอดีเซลเป็นธุรกิจหลักของเราและเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ที่สำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางเชิงกลยุทธ์ของบริษัทและความต้องการพลังงานที่ยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

กระบวนการเริ่มต้นจากโรงสกัดของเรา ซึ่งนำผลปาล์มสดมาผลิตเป็นน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จากนั้น CPO จะถูกส่งไปยังโรงกลั่นของเราเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลักสองประเภท ประเภทแรกและสำคัญที่สุดคือ กลุ่มผลิตภัณฑ์พลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะไบโอดีเซล ซึ่งเราเห็นว่าเป็นเสาหลักสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานที่สะอาดขึ้น ส่วนประเภทที่สองคือน้ำมันบริโภค ซึ่งจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

และที่สำคัญ แนวทางของเราไม่ใช่เพียงแค่การกลั่นวัตถุดิบเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลพลอยได้อีกด้วย เช่น เมล็ดในปาล์มจะถูกนำไปแปรรูปเป็นน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ (CPKO) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง นอกจากนี้ กะลาปาล์มและเปลือกปาล์ม ซึ่งมักถูกทิ้งในกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ยังถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อให้กระบวนการผลิตของเรามีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับอนาคต เรามีความชัดเจนในแผนกลยุทธ์ที่บริษัทกำลังมุ่งไป นั่นคือการก้าวข้ามการขายสินค้าโภคภัณฑ์แบบดั้งเดิมไปสู่ตลาดเฉพาะทางที่มีมูลค่าสูงขึ้น ขณะที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมหลายรายยังคงเน้นการผลิตน้ำมันปาล์มดิบจำนวนมาก เรามุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะที่ตอบโจทย์ภาคส่วนต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง และพลังงานหมุนเวียน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไร แต่ยังสร้างความแตกต่างให้กับ PCE ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการกลั่นและการใช้ประโยชน์จากผลพลอยได้ เราตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนและมุ่งเน้นมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

แผนการลงทุนของ PCE ในโรงงานใหม่และการผสานเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงาน มีความคืบหน้าอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PCE มีแผนใช้ระบบอัตโนมัติและนวัตกรรมอย่างไรในการเพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้การเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจสู่รุ่นต่อไปเป็นไปอย่างราบรื่น?

เราให้ความสำคัญเป็นพิเศษเพื่ออนาคตของบริษัทคือการผสานเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ากับการดำเนินงาน ปัจจุบัน เรามีแผนก่อสร้างโรงสกัดใหม่สองแห่ง โดยใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ แม้ว่าระบบอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบการผลิต แต่เรายังคงให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมศักยภาพของบุคลากร มากกว่าการแทนที่พนักงานของเรา

พนักงานของเราจะได้รับการปลดภาระจากงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ทำให้สามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่สร้างมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งต้องใช้ทักษะด้านการคิดเชิงกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์

ในระยะยาว การลงทุนด้านเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนของธุรกิจ แม้ในช่วงเปลี่ยนผ่านของผู้นำองค์กร โดยการสร้างโครงสร้างการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เรากำลังวางรากฐานสำหรับประสิทธิภาพที่ยั่งยืนและความสามารถในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด

อยากทราบถึงมุมมองของคุณกัญกรต่อ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และ PCE ได้นำกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทได้มีการผสานเทคโนโลยี การบริหารจัดการทรัพยากร และการสนับสนุนชุมชนเข้าด้วยกันอย่างไรเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว?

หลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ถือเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญาการดำเนินธุรกิจของเรา สำหรับเรา ESG ไม่ใช่เพียงข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ แต่เป็นพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ เราได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงโครงการบริหารจัดการของเสียที่นำเศษวัสดุจากกระบวนการผลิตมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ ในด้านสังคม เรามุ่งเน้นการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชน โดยเน้นการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระยะยาว มากกว่าการให้ความช่วยเหลือแบบชั่วคราว

สำหรับแผน ESG ในอนาคต เราวางเป้าหมายที่จะขยายโรงงานผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มการใช้วัสดุที่ยั่งยืน และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น ด้วยการบูรณาการแนวคิดด้านความยั่งยืนในทุกมิติของการดำเนินงาน เรามุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าในระยะยาวทั้งต่อองค์กรและสังคมโดยรวม

จากที่ PCE มีฐานลูกค้าอยู่ในหลายประเทศ อยากให้ช่วยเล่าภาพเกี่ยวกับโอกาสของแต่ละตลาด รวมถึงแผนการขยายธุรกิจและการเพิ่มมูลค่าเพื่อให้บริษัทสามารถรักษาความเป็นผู้นำแนวโน้มตลาด?

ฐานลูกค้าของเราส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม B2B โดยบริษัทมีสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดต่างประเทศ เช่น อินเดียและแอฟริกา ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากความต้องการน้ำมันปาล์มยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน อย่างไรก็ตาม การดำเนินธุรกิจในตลาดเหล่านี้จำเป็นต้องมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับกฎระเบียบท้องถิ่น นโยบายการค้า และพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละประเทศ

อินเดียเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความสำคัญสำหรับเรา ความต้องการน้ำมันปาล์มในประเทศอินเดียมีมหาศาล แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทาย เช่น นโยบายการนำเข้าของภาครัฐและอัตราภาษีที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้า อย่างไรก็ตาม โซลูชันครบวงจรของเราช่วยให้ห่วงโซ่อุปทานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดต้นทุน ทำให้พันธมิตรทางธุรกิจของเราดำเนินงานได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ในขณะที่แอฟริกาเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและอัตราการขยายตัวของเมืองที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความต้องการ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร

สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างคือรูปแบบการให้บริการแบบครบวงจร เราดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิต การขนส่ง ไปจนถึงการให้คำปรึกษาทางการตลาด มอบโซลูชันที่ครอบคลุมให้กับลูกค้า แทนที่จะเป็นเพียงการจำหน่ายสินค้าเพียงอย่างเดียว ความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ เป็นปัจจัยสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งชื่อเสียงของประเทศไทยในด้านความเป็นมืออาชีพยิ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของเรา นอกจากนี้ ความสามารถในการจัดการปัญหาด้านโลจิสติกส์หรือความผันผวนของราคาได้อย่างรวดเร็ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ตอกย้ำความเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ลูกค้าสามารถพึ่งพาได้

ในมุมมองด้านการส่งออก ประเทศไทยมอบความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับเรา ต่างจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ที่มีการเก็บภาษีส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) แต่ไทยไม่มีข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้เราสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแข่งขันมากขึ้น แม้ว่าขนาดการผลิตของเราจะเล็กกว่าก็ตาม แทนที่จะมุ่งเน้นที่ปริมาณ เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะทางและการเพิ่มมูลค่า เพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เมื่อมองไปข้างหน้า เราเชื่อว่าอนาคตของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มจะอยู่ที่ผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มมากกว่าการส่งออกในรูปแบบสินค้าจำนวนมาก เรากำลังมุ่งสู่ห่วงโซ่คุณค่าที่สูงขึ้น โดยปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง หนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพสูงคือ น้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO) ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าน้ำมันปาล์มทั่วไป เนื่องจากถูกนำไปใช้เฉพาะทางในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง นอกจากนี้ กลยุทธ์การขยายธุรกิจของเรายังรวมถึงการตั้งโรงสกัดขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยกำลังการผลิต 300 ตันต่อวัน โดยมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ พรีเมียมที่มีมูลค่าเพิ่ม แทนการผลิตในปริมาณมาก ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่า ปริมาณ นอกเหนือจากการผลิต เรายังมองหาโอกาสในการเติบโตใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อสร้างความหลากหลายและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของเรา

เป้าหมายระยะยาวของเราชัดเจน เรามุ่งสร้างความแตกต่างจากผู้ส่งออกปริมาณมากในอินโดนีเซียและมาเลเซีย โดยให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรม ชื่อเสียงที่แข็งแกร่งในตลาด และความมุ่งมั่นในการสร้างมูลค่าเพิ่ม เรากำลังก้าวสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนและมองไปข้างหน้า เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคทั่วโลก อนาคตของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มอยู่ที่โซลูชันมูลค่าสูงที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เฉพาะ และเราตั้งใจที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

PCE มองการเติบโตของบริษัทในช่วงห้าปีข้างหน้าอย่างไร? ทิศทางการเติบโตที่สำคัญคืออะไร? และบริษัทคาดการณ์ถึงความท้าทายหรือความคาดหวังในอนาคตอย่างไร โดยเฉพาะในด้านการบริหารพนักงานและผู้ถือหุ้น?

ในช่วงห้าปีข้างหน้า PCE จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ว่าน้ำมันปาล์มจะยังคงเป็นธุรกิจหลักของเรา แต่เรามีเป้าหมายที่จะขยายเข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องสำอาง และพลังงานหมุนเวียน ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานในส่วนปลายน้ำ เราสามารถกระจายแหล่งรายได้และลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์

ในขณะเดียวกัน เราจะยังคงพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานต้นน้ำโดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดและรักษาคุณภาพวัตถุดิบให้อยู่ในระดับสูง รากฐานที่มั่นคงในธุรกิจหลักของเราจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมและสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว การผสานเทคโนโลยีและแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความเป็นผู้นำของเราในอุตสาหกรรม

การบริหารการแข่งขันเป็นความท้าทายอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงของเรา ทำให้เรามีความได้เปรียบทางธุรกิจ ความผันผวนทางเศรษฐกิจและแนวโน้มผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้เราต้องบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และเรามุ่งมั่นที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ด้วยวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ การมีส่วนร่วมของพนักงานยังคงเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ เพราะแรงขับเคลื่อนที่แท้จริงของธุรกิจมาจากบุคลากรที่มีแรงจูงใจ เราเชื่อว่า "การนำพาบริษัทไปสู่เป้าหมายไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง" ดังนั้น เราจึงให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่เปิดกว้างและการแก้ปัญหาเชิงรุก เพื่อให้ทีมงานทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกันตามวิสัยทัศน์ขององค์กร

สำหรับผู้ถือหุ้น เรามุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน มากกว่าการขยายตัวในระยะสั้น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารจะยังคงมีความสำคัญเสมอ และเรามุ่งสร้างมูลค่าในระยะยาวโดยการผสานนวัตกรรมเข้ากับเสถียรภาพทางการเงิน ความโปร่งใสและความไว้วางใจเป็นหัวใจสำคัญของความ สัมพันธ์กับนักลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ถือหุ้นมีความเชื่อมั่นในกลยุทธ์และทิศทางของบริษัท

ในอนาคต การขยายตัวของเมืองจะเพิ่มความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร แม้ว่าพื้นที่เพาะปลูกจะลดลง เทคโนโลยีและนวัตกรรม จะมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืน ด้วยความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและแนวคิดที่มุ่งสู่อนาคต PCE อยู่ในตำแหน่ง ที่เหมาะสมในการเป็นผู้นำท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยสามารถสร้างสมดุลระหว่าง ประเพณีกับนวัตกรรม ความมั่นคงกับการเติบโต และ ความยั่งยืนกับผลกำไร